
12 คำศัพท์ทางการออกแบบที่มักเกิดความสับสน
ปกติแล้วสายอาชีพแต่ละสายก็จะมีคำศัพท์ที่ค่อนข้างเฉพาะทางของแต่ละสายอาชีพอยู่ สำหรับการรับออกแบบก็เช่นกันมีคำศัพท์เฉพาะทางอยู่มากมาย โดยที่มีอยู่หลายคำที่มีความคล้ายคลึงกันจนบางทีอาจทำให้เกิดความสับสนในการใช้ได้ วันนี้เราจึงจะมาดูกันว่ามีคำศัพท์อะไรบ้างที่มักทำให้เกิดความสับสนและจะได้มาดูกันว่าคำศัพท์เหล่านั้นมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
1.Font กับ Typeface
หากจะให้พูดถึงความแตกต่างกันที่ชัดเจนของสองคำนี้ก็คือ Font เป็นกลุ่มตระกูลรูปแบบของตัวอักษรทั้งหมด ส่วน Typeface เป็นรูปแบบดีไซต์ของตัวอักษร
2. Leading กับ Tracking และ Kerning
สามคำนี้เป็นคำที่เรามักพบเจอกับการจัดหน้าหนังสือเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับระยะความห่างของตัวอักษรนั้นเองโดยที่ Leading คือระยะห่างด้านบนและด้านล่างของตัวอักษรแต่ละบรรทัด Tracking คือความยาวของตัวอักษรในคำหนึ่งคำ และสุดท้าย Kerning คือระยะห่างระหว่างตัวอักษรแต่ละตัวอักษรนั่นเอง
3.Vector กับ Raster
Vector เป็นลักษณะไฟล์สำหรับการทำงานกราฟิก ที่สามารถซูมหรือขยายเท่าไรก็ได้โดยที่คุณภาพของภาพยังดีเหมือนเดิมโดยที่ภาพไม่แตก ส่วน Raster เป็นลักษณะไฟล์ของภาพถ่ายที่ยังคงทำงานเป็นแบบ pixel อยู่ ซึ่งหากนำมาขยายมากๆคุณภาพของก็จะแย่หรือภาพก็จะแตกได้
4.Dodge กับ Burn
สองเครื่องมือปรับความมืดและสว่างของภาพ โดยที่ Dodge มีไว้เพื่อการเพิ่มความสว่างให้กับภาพ ส่วน Burn มีไว้เพื่อการเพิ่มความมืดให้กับภาพ
5.Opacity กับ Translucency
Opacity เป็นการควบคุมความเข้มความจางของกราฟิกโดยรวมทั้งเลเยอร์ ส่วน Translucency เป็นการทำให้ส่วนใดเพียงส่วนหนึ่งของกราฟิกในเลเยอร์เข้มหรือจางได้โดยไม่ต้องมีการสร้างเลเยอร์เพิ่มขึ้นมาอีก
6. Opacity กับ Fill
หนึ่งในสองคำที่มีลักษณะการใช้ที่มีความคล้ายคลึงกันจนค่อนข้างสับสนในการใช้งาน โดยความแตกต่างของมันอยู่ที่หากเราปรับ Opacity พวก effects ที่ติดอยู่กับ object ที่เราใช้งานเหล่านั้นจะจางลงไปด้วย แต่สำหรับ Fill นั้นหากมีการปรับเพิ่มลดจะไม่ส่งผลกระทบต่อ effect บน object ที่เราทำงานด้วย
7. Letterpress กับ Engraving
Letterpress เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวอักษรที่ปริ้นด้วยน้ำหมึก ส่วน Engraving เป็นการปั้มลงไปบนกระดาษให้เกิดผิวสัมผัสที่แตกต่างกัน
8. Negative Space กับ White Space
สองคำนี้เป็นคำเป็นคำที่มักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทั้งสองคำนี้ไม่แตกต่างกัน สามารถใช้ทดแทนกันได้ทั้งคู่
9. PPI กับ DPI
ศัพทเกี่ยวกับการตั้งค่าความละเอียดของงาน โดยที่ PPI คือความละเอียดแบบพิกเซลต่อนิ้ว ส่วน DPI คือความละเอียดแบบจุดต่อนิ้วหรือก็คือจุดของน้ำหมึกที่จุดลงบนกระดาษเวลาเราพิมพ์งานนั้นเอง ยิ่งสูงเท่าไหร่งานพิมพ์ของเราก็ยิ่งละเอียดมากเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปสำหรับงานพิมพ์ปกติก็มักจะตั้งกันไว้ที่ 300 DPI
10. Trim กับ Crop และ Bleed
Trim เป็นการตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกไป ส่วนการ Crop เป็นการตัดทุกๆอย่างที่ไม่ต้องการนอกพื้นที่ที่กำหนดออกไปทั้งหมดเลย และสุดท้าย Bleed คือส่วนตัดตกสำหรับการพิมพ์งานจริง
11. X-height กับ Line height
คำศัพท์สองคำนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสูงของตัวอักษรที่อาจทำให้หลายคนสับสน โดย X-height คือความสูงของตัวอักษรวัดจากความสูงของตัวอักษร “x” ในฟอนท์ตระกูลเดียวกัน ส่วน Line height คือความสูงรวมทั้งหมดของตัวอักษรในรูปแบบฟอนท์เดียวกัน
12. Italic กับ Oblique
เป็นเรื่องของตัวเอียง โดยที่ Italic คือการปรับให้รูปแบบตัวอักษรมีการเอียงเพิ่มขึ้นมา ส่วน Oblique เป็นรูปแบบตัวอักษรที่เอียงอยู่แล้ว
ทั้งหมดนี้ก็เป็นคำศัพท์ที่มีความคล้ายคลึงกันในสายอาชีพรับออกแบบ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เห็นถึงความคล้ายคลึงและความแตกต่างกัน ช่วยให้หายสับสนได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : http://www.creativebloq.com/infographic/design-terms-getting-wrong-31619515